วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2551

นิสิตใช้คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวันอะไรบ้าง

ใช้เพื่อค้นหาความรู้ต่างๆ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆ เช่นการเรียน หรือทำงานเป็นต้น หรือใช้ติดต่อสื่อสารจากที่ไกลๆ ใช้เป็นเครื่องบันเทิงเช่นฟังเพลงหรือเล่นเกม หรือเพื่อหาความรู้ใหม่ๆให้กับตัวเรา เพื่อที่จะตามข่าวสารโลกได้ทันท่วงที

ข้อมูลและสารสนเทศแตกต่างกันอย่างไร

ข้อมูล (data) คือ ข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดของสิ่งที่เราสนใจ ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งข้อเท็จจริงเหล่านี้อาจอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตัวเลข ข้อความ ภาพ เสียง และ วิดีทัศน์ ดังนั้นการเก็บข้อมูลจึงเป็นการเก็บรวบรวมเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสิ่งที่เราสนใจนั่นเอง ข้อมูล จึงหมายถึงตัวแทนของข้อเท็จจริง หรือความเป็นไปของสิ่งที่เราสนใจ นั่นเอง
สารสนเทศ (information) หมายถึง ข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เพราะได้ผ่านการประมวลผลด้วยวิธีการที่เหมาะสมและถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ อยู่ในรูปแบบที่สามารถนำไปใช้งานได้ และจะต้องอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องการ เช่น เมื่อต้องการสารสนเทศไปใช้ในการวางแผนการขาย สารสนเทศที่ต้องการก็ควรจะเป็นรายงานสรุปยอดการขายแต่ละเดือนในปีที่ผ่านมาที่เพียงพอแก่การตัดสินใจดังนั้นความแตกต่างของข้อมูลและสารสนเทศก็คือข้อมูลเป็นข้อเท็จจริงที่ยังไม่ได้ประมวลผลและยังนำไปใช้ไม่ได้ ส่วนสารสนเทศก็คือข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลโดยวิธีกรต่างๆ เช่นการนำมาจัดเรียง การผ่านสูตรคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ การหาผลเฉลี่ย เป็นต้น แล้วและสามารถนำไปใช้ในประโยชน์ได้นั้นเอง

VLSI คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร

ยุคต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ ยุคที่ 1 (1945 - 1958) -ใช้หลอดสูญญากาศ ความต้านทาน Capacitor และ สวิทช์ ในยุคนั้นคอมพิวเตอร์ใช้คำนวณค่าในตารางการยิงปืนใหญ่ ใช้ภาษาเครื่องจักร ใช้กำลังไฟฟ้ามาก ยุคที่ 2 (1958 - 1964) - ใช้ Transistor เป็นวงจรหลักของระบบคอมพิวเตอร์ ใช้ภาษาระดับสูง มีการคำนวณทางคณิตศาสตร์แบบFloating point ยุคที่ 3 (1964 - 1974) -เริ่มใช้วงจรรวม ( Integrated circuit) มีหน่วยความจำเป็นแบบ Semi conductor ขนาดของคอมพิวเตอร ์จึงมีขนาดเล็กลง ยุคที่ 4 (1974 - ปัจจุบัน) - ใช้เทคโนโลยี VLSI ประยุกต์ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้น ในยุคนี้ขนาดของคอมพิวเตอร์จะมีขนาดเล็กลงมาก ยุคที่ 5 (ปัจจุบัน - ????) - VLSI,ULSI ,Parallel System , Intelligence คาดว่าในยุคนี้จะเป็นยุคของปัญญาประดิษฐ์ การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์จะทำงานแบบขนานกันไป มีความเร็วในการประมวลผลสูงมากยุคที่ 5 VLSIความหมายย่อมาจาก very large scale integration (แปลว่า วงจรรวมความจุสูงมาก) หมายถึงการสร้างชิป (chip) โดยสามารถนำประตู (gate) มารวมกันได้ถึง 100,000 ประตูหรือมากกว่านั้น แล้วนำมาใช้เป็นตัวประมวลผล ทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงได้มาก ในปัจจุบัน มีการสร้างชิปที่มีประตูมากยิ่งไป กว่านั้น เรียกว่า ULSI ( ultra largscaleintegraton หรือวงจรรวมความจุสูงยิ่ง)จากวงจรไอซีได้มีการพัฒนาวงจรรวมความจุสูงหรือแอลเอสไอ (Large Scale Integrated Circuit : LSI) ขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ.2513 ทำให้สามารถบรรจุวงจรทรานซิสเตอร์จำนวนหลายพันตัวลงบนแผ่นซิลิคอนขนาด 1/6 ตารางนิ้ว นับเป็นการเริ่มยุคที่สี่ของคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ระหว่าง พ.ศ.2513 – 2532 และในปี พ.ศ. 2518 สามารถเพิ่มปริมาณวงจรหลายหมื่นวงจรลงบนซิลิคอนขนาดเท่าเดิม เรียกว่า วงจรรวมความจุสูงมากหรือวีแอลเอสไอ (Very Large Scale Integrated Circuit : VLSI) จากการประดิษฐ์วีแอลเอสไอสามารถนำมาสร้างเป็นไมโครโพรเซสเซอร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู (Central Processing Unit : CPU) ของคอมพิวเตอร์ และสามารถลดขนาดของคอมพิวเตอร์ให้เล็กลงจนสามารถตั้งบนโต๊ะทำงานในสำนักงาน หรือพกพาไปในที่ต่างๆ เหมือนกระเป๋าหิ้วได้ เรียกเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เกิดในยุคนี้ว่าไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) นอกจากนี้ ยังสามารถนำวงจรวีแอลเอสไอมาสร้างเป็นหน่วยความจำรองที่สามารถเก็บข้อมูลในระหว่างที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้ ทำให้ได้หน่วยความจำที่มีความจุมากขึ้น ประสิทธิภาพในการทำงานของคอมพิวเตอร์ยุคนี้จะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนคอมพิวเตอร์นอกจากช่วยงานคำนวณแล้วยังสามารถทำงานเฉพาะทางอื่นๆ ได้มากกว่าช่วยงานคำนวณ เช่น การนำเสนอข้อมูลแบบสื่อประสม

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2551

คอมพิวเตอร์แบบฝังคืออะไร


คอมพิวเตอร์แบบฝัง (embedded computer )เป็นคอมพิวเตอร์ที่ฝังในอุปกรณ์ต่าง ๆ นิยมนำมาใช้ทำงาน เฉพาะด้าน พิจารณาจากภายนอกจะไม่เห็นว่าเป็นคอมพิวเตอร์แต่จะ ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานบางอย่างของอุปกรณ์นั้นๆ คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ เช่น เครื่องเล่นเกม ระบบเติมน้ำมันอัตโนมัติ โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

รายงาน คอมมีกี่ประเภทและมีอะไรบ้าง

คอมพิวเตอร์มีกี่ประเภทอะไรบ้าง

การแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์ได้แบ่งตามขนาดของระบบ แต่จะแบ่งตามลักษณะของข้อมูลที่ระบบนำมาประมวลผล ถ้าพิจารณาแล้วข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันโดยทั่วไปสามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ ข้อมูลประเภทไม่ต่อเนื่อง ( discrete data) และข้อมูลประเภทต่อเนื่อง (continuous data) ข้อมูลประเภทไม่ต่อเนื่องคือ ลักษณะของข้อมูลที่สามารถนับได้เป็นจำนวนทีแน่นอน นั่นคือ จะนับทีละ 1 หน่วยได้ เช่น จำนวนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย จำนวนรถยนต์ในประเทศไทย ข้อมูลประเภทต่อเนื่อง ได้แก่ ข้อมูลที่ได้มาจากการวัด เช่น ความเร็วของรถยนต์ อุณหภูมิของร่างกาย ระบบคอมพิวเตอร์โดยทั่วไปนั้นได้แก่ คอมพิวเตอร์ที่ทำงานกับข้อมูลแบบไม่ต่อเนื่องซึ่งเรียกว่าคอมพิวเตอร์แบบดิจิตอล ส่วนระบที่ทำงานกับข้อมูลแบบต่อเนื่องเรียกว่า คอมพิวเตอร์แอนะลอก และถ้านำระบบคอมพิวเตอร์แบบดิจิตอลกับแบบแอนะลอกรวมกันเรียกว่า ระบบคอมพิวเตอร์แบบไฮบริด นอกจากนี้ระบบคอมพิวเตอร์ยังสามารถจำแนกได้ตามลักษณะการใช้งานออกเป็น 2 ประเภท คือ คอมพิวเตอร์อเนกประสงค์ และคอมพิวเตอร์เฉพาะกิจ คอมพิวเตอร์เฉพาะกิจคือ คอมพิวเตอร์ถูกออกแบบและสร้างให้ทำงานเฉพาะอย่างเท่านั้นโดยไม่สามารถนำไปใช้งานชนิดอื่นได้ ส่วนมากจะเป็นคอมพิวเตอร์ใช้ในการควบคุม เช่นควบคุมระบบการจ่ายและจุดฉีดน้ำมันในรถยนต์ หรือใช้ในระบบนำวิถีของจรวด คอมพิวเตอร์อเนกประสงค์คือ ระบบที่ได้รับการออกแบบให้ประยุกต์ใช้งานได้อย่างนับไม่ถ้วน คือ ระบบจะทำงานตามคำสั่งในโปรแกรมที่เขียนขึ้นมา และเมื่อต้องการใช้เครื่องทำงานอะไร ก็เพียงแต่ออกคำสั่งเรียกโปรแกรมที่เหมาะสมเข้ามาใช้งาน ก็สามารถเก็บโปรแกรมไว้หลายโปรแกรมในเครื่องเดียวกันได้ แบ่งตามขนาดของเครื่องคอมพิวเตอร์ มักจะวัดกันตามขนาดความจุของหน่วยความจำหลักที่ใช้งาน (Main Memory) ซึ่งหน่วยวัดความจุอาจอยู่ในเทอมของกิโลไบต์ (Kilobyte หรือ KB) โดย 1 KB จะมีค่า = ไบต์ หรือ 1024 ตัวอักขระ (1 ไบต์ มีค่าเท่ากับ 1 ตัวอักขระ) ดังนั้น ถ้าคอมพิวเตอร์มีความจุ 10 K จะมีความหมายว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะสามารถเก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำหลักได้ ไบต์ หรือเท่ากับ 10,240 ตัวอักขระนอกจากนี้ขนาดหน่วยความจำยังอาจมีหน่วยวัดอยู่ในเทอมของเมกะไบต์ (Megabyte หรือ MB หรือ M ) โดย1 MB = 1024 KB = 1024 X 1024 =1,048,576 ไบต์ (ตัวอักขระ) หรืออาจอยู่ในเทอมของจิกะไบต์ (Gigabyte หรือ GB) โดย 1 = 1024 MB = 1024 X 1024 X 1024 = 1,073,741,824 ไบต์(ตัวอักขระ) เป็นต้น


1. Super Computer เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และสามารถประมวลผลได้เร็วที่สุด มีความจุในการจัดเก็บข้อมูลสูง ส่วนมากจะผลิตขึ้นมาเพื่อใช้งานเฉพาะด้านเท่านั้น เช่นงานทางด้านวิทยาศาสตร์ที่ยุ่งยากซับซ้อน และต้องมีการคํานวณมาก เช่น งานวิจัยทางด้านนิวเคลียร์ งานพยากรณ์อากาศ ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดนี้มีราคาแพงมาก





2.เมนเฟรม (Mainframe) คือคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์ต่อพ่วงเป็นจำนวนมากเมนเฟรมคอมพิวเตอร์บางแห่งมีสถานีงาน (workstation) หรือ เครื่องปลายทาง (terminal) มากกว่า 10 แห่ง และมีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในเวลาเดียวกันเป็นจำนวนมาก คอมพิวเตอร์ประเภทนี้มักจะใช้ในกิจการขนาดใหญ่ เช่นระดับกระทรวง เมนเฟรมส่วนใหญ่มีหน่วยความจำประมาณ 8 ล้านตัวอักษรขึ้นไปและมีหน่วยความจำรองประมาณ 1,000 ล้านตัวอักษรขึ้นไป นอกจากนี้ยังสามารถทำงานได้ด้วยความเร็วสูงประมาณไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคำสั่งต่อวินาที (MIPS) ขอบเขตของคอมพิวเตอร์แต่ละชนิดนั้นกำหนดได้ยากถ้าจะถือความสามารถของเครื่องเป็นขอบเขต ไมโครคอมพิวเตอร์สมัยปัจจุบันนี้ มีความสามารถมากกว่าเมนเฟรมสมัยเมื่อ 20 ปีก่อน ความสามารถสของมินิคอมพิวเตอร์สมัยนี้ อาจด้อยกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ในอนาคตก็ได้ ในปัจจุบันไมโครคอมพิวเตอร์เป็นที่นิยมและแพร่หลาย จนกระทั่งคำว่า"ไมโครคอมพิวเตอร์" เปลี่ยนมานิยมเรียกสั้น ๆ ว่า "คอมพิวเตอร์" ซึ่งหมายถึง "ไมโครคอมพิวเตอร์ นั่นเอง



3.มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะปานกลาง ต่ำกว่าเมนเฟรมแต่ทำงานพร้อมกันได้หลายคน ต่อพ่วงกับเครื่องปลายทางได้น้อยกว่าเมนเฟรม มักใช้กับกิจกรรมขนาดย่อมเช่น กิจกรรมโรงแรม โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล สถานศึกษา โดยทั่วไปมินิคอมพิวเตอร์มีหน่วยความจำประมาณ 4 ล้านตัวอักษรขึ้นไป มีหน่วยความจำรอง 500 ล้านตัวอักษร และมีความเร็วในการทำงานประมาณไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคำสั่งต่อวินาที




4.ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หมายถึง คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่นิยมใช้ทั่วไปในปัจจุบัน บางครั้งเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (personal coputer) เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนได้โดยง่าย ปกติจะมีผู้ใช้ครั้งละ 1 คนต่อ 1 เครื่อง ปัจจุบัน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.1 กลุ่มพีซี (personal computer) ใช้งานทั่วไป เช่นพิมพ์เอกสาร จัดฐานข้อมูล ฯลฯ 1.2 กลุ่มแมคอินทอช (macintosh) ใช้เกี่ยวกับงานกราฟิค เป็นส่วนใหญ่







วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2551

รายงาน

เอชพีส่งโน้ตบุ๊กพิมพ์ลายลงตลาดปีหน้า


เอชพีแย้มปีหน้าพร้อมส่งโน้ตบุ๊กพิมพ์ลายหรือ Imprint ลงตลาด เน้นกลุ่มชอบของแปลกมากกว่าลูกเล่นผลิตภัณฑ์ เตรียมโชว์ในงาน “Inter Action: Art in Motion” เจาะตลาดวัยโจ๋ 6 เมืองหลักทั่วเอเชีย ฟันธงกลุ่มผู้ใช้ปีหน้าเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้วัยเรียนซึ่งต้องการใช้โน้ตบุ๊คเป็นเครื่องมือเรียนหนังสือ นายปวิณ วรพฤกษ์ ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์และการตลาด กลุ่มธุรกิจเพอร์ซันแนล ซิสเต็มส์ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) หรือเอชพี กล่าวว่า กลุ่มตลาดหลักของโน้ตบุ๊กพิมพ์ลายคือกลุ่มอินเทรนด์ผู้ชอบความแปลก เพื่อรุกตลาดกลุ่มนี้และสร้างความแตกต่างในการทำตลาด เอชพีจึงตัดสินใจจัดงาน Inter Action: Art in Motion by HP เพื่อดึงดูดวัยฮิพใน 6 เมืองหลักทั่วเอเชีย ได้แก่ กรุงโซล กรุงไทเป กรุงเทพฯ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ และซิดนีย์ "คนที่มาในงานนี้จะมีลักษณะแหวกแนว ชอบของแปลก เน้นกลุ่มวัยเรียนมหาวิทยาลัยถึงกลุ่มวัยเริ่มต้นทำงาน สำหรับประเทศไทย คาดว่าผู้ลงทะเบียนขอร่วมงานจะมีจำนวนราว 3 พันคน แต่เอชพีวางจำนวนผู้เข้าร่วมงานไว้ที่ 1 พันคน ซึ่งเพียง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมามีคนเข้ามาลงทะเบียนแล้ว 500 คน" งาน Inter Action: Art in Motion by HP ในประเทศไทยจะจัดขึ้นวันที่ 4 ธันวาคมนี้ ภายในงานจะมีศิลปินด้านภาพและเสียงระดับปรมาจารย์ชื่อดังก้องโลก อาทิ Coldcut จากอังกฤษ Nu-Mark จากสหรัฐ และ Pfadfinderei จากเยอร์มัน มาร่วมให้ความบันเทิงในปาร์ตี้โดยใช้เทคโนโลยีของเอชพี จุดนี้นายปวิณเชื่อว่า เอชพีคือบริษัทไอทีรายเดียวที่มองว่าคอมพิวเตอร์คือส่วนหนึ่งของความคิดผู้บริโภคยุคนี้ วัยเรียน"ตลาดหลักเอชพีปีหน้า" นายปวิณกล่าวว่า กลุ่มผู้ใช้วัยเรียนคือส่วนตลาดหลักที่จะเติบโตขึ้นของกลุ่มผู้ใช้เอชพีในปีหน้า แต่ก็เชื่อว่ากลุ่มตลาดส่วนอื่นจะมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยในปีหน้าเอชพีจะเน้นเรื่องการจำหน่ายโน้ตบุ๊กแฟชัน และการทำตลาดแบบกิจกรรมที่ไม่มีการลด แลก แจก และแถม "เราไม่ได้คาดหวังถึงยอดขาย แต่คาดหวังในแง่ประสบการณ์ของลูกค้าเป็นหลัก เพราะเอชพีเป็นบริษัทไอทีรายแรกที่ทำการตลาดลักษณะนี้ และไม่ได้ทำอยู่ประเทศเดียว แต่ทำอยู่ในรูปของ Big Impact ส่วนกลุ่มเป้าหมายจะเป็นคนที่ไม่ธรรมดา ชอบความแปลก” ส่วนแผนในปีหน้าเอชพีจะเน้นหนัก 2 เรื่อง คือ 1.ความแปลกใหม่บนอุปกรณ์ไอที เช่น ส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ที่แวววาว แฟชั่นที่เป็นลวดลาย 2.เรื่องโปรโมชันแนวกิจกรรม เช่นการออกบูธ และการพาลูกค้าไปชมงานเทคโนโลยี หรือการจัดงานแสดงเทคโนโลยีของเอชพีในปีหน้าก่อนงานคอมมาร์ต “รูปแบบเทคโนโลยีในปีหน้าจะไม่มีความแตกต่าง เราเน้นลวดลายทำให้ไม่เหมือนใครในแง่ของผลิตภัณฑ์ ส่วนผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กเชื่อว่าตลาดยังโตได้อีกไกล เนื่องจากยังมีผู้ที่ไม่ได้ซื้อโน้ตบุ๊กจำนวนมากเมื่อเทียบกับที่มีผู้ใช้แล้วที่มีอยู่แค่ 11% จากประชากร 65 ล้านคน สำหรับผู้ที่ใช้อยู่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นเครื่องที่สองหรือสาม เนื่องจากแอปพลิเคชันล้าสมัยลง ทำให้ต้องเปลี่ยนให้ทันสมัยกับปัจจุบัน”

รายงาน

คอมพ์ฯ กระเป๋าหิ้ว 100 ดอลล์ มาแล้ว!!



แล็บท็อป 100 ดอลล์ ใกล้คลอด ถึงมือนักเรียนเดือนตุลาคม
ได้ยินข่าวเรื่องคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว หรือ "แล็บท็อป" ราคา 100 ดอลลาร์ ที่จะแจกให้นักเรียนยากจนและอยู่ในชนบทมานานเกือบ 5 ปี
บัดนี้แล็บท็อบราคาถูกที่มีชื่อว่า "เอ็กซ์โอ" ที่มี ศ.นิโคลัส เนโกรปอนที เป็นเจ้าของโครงการ ได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการผลิตแล้ว โดยมีบริษัทควอนต้าของไต้หวัน เป็นผู้ผลิต
สำหรับ "เอ็กซ์โอ" ชุดแรกจะถึงมือเด็กนักเรียนในประเทศกำลังพัฒนา ประมาณเดือนตุลาคม หรืออีกเพียง 2 เดือนข้างหน้า
แม้จะมีผู้สงสัย "เอ็กซ์โอ" ในเรื่องมาตรฐาน เพราะราคาที่ถูกแสนถูก รวมทั้งผู้อยู่ในแวดวงคอมพิวเตอร์ยังข้องใจในเรื่องเทคนิค อย่างไม่มีฮาร์ดไดรฟ์
ความเห็นของบิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ ยังบอกวิจารณ์ว่า จอภาพเล็กไป กลัวเด็กๆ จะเขม้นตามอง กลายเป็นความทรมาน
ขณะที่อีกหลายเสียงวิจารณ์ว่า จะซื้อคอมพิวเตอร์ไปให้เด็กทำไม เอาเงินไปช่วยด้านสาธารณสุข การหาแหล่งน้ำสะอาด หรืออะไรที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันดีกว่า
แต่ "เอ็กซ์โอ" ก็ลุยดงน้ำลายของคำวิจารณ์มาได้ และใกล้คลอดเต็มที
ผู้ดีไซน์ยืนยันว่า "เอ็กซ์โอ" ใช้งานได้ในหลายๆ พื้นที่ที่ห่างไกล เช่น เขตทะเลทรายในลิเบีย เขตเทือกเขาในเปรู ใช้พลังงานแสงอาทิตย์แทนไฟฟ้า และเครื่องยังทำงานได้ดีแม้จะร้อนตับแลบถึง 50 องศาเซลเซียส
คุณสมบัติอย่างนี้ไม่มีในคอมพิวเตอร์ทั่วๆ ไป